เชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยได้ยินชื่อหมู่บ้าน
ชิราคาวาโกะ (Shirakawago) หมู่บ้านที่เป็น
มรดกโลก เป็นแน่แท้ โดยส่วนใหญ่เรามักจะเห็นหมู่บ้านนี้ยืนเคียงคู่กับหิมะหนาๆมากมายตามโปสเตอร์ในงานท่องเที่ยวญี่ปุ่นต่างๆ แต่วันนี้ผมจะลองไปเที่ยวชมหมู่บ้านเล็กๆที่ว่านี้ในช่วงวันที่ไร้หิมะดูบ้าง ลองไปดูซิว่าเมื่อไร้ซึ่งหิมะแล้วหมู่บ้านแห่งนี้จะยังคงความสวยงามออกมาในรูปแบบไหนกัน
หมู่บ้านชิราคาวาโกะนั้นเป็นหมู่บ้านชาวนาที่ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลก เอกลักษณ์เด่นอย่างหนึ่งของหมู่บ้านนี้ก็คือการคงไว้ซึ้งบ้านในแบบ
กัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) บ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ชื่อนี้ได้มาจากคำว่า "
กัสโช" ซึ่งแปลว่า "
พนมมือ" มีอายุมากว่า 250 ปี ข้อเด่นของการทำบ้านรูปทรงนี้ก็คือสามารถทนต่อปริมาณหิมะที่ตกหนักมากในแต่หล่ะปี โดยบ้านแบบนี้คือหนึ่งในสิ่งที่เราจะเข้าไปเยี่ยมชมกันครับ
สำหรับการเดินทางมาที่ชิราคาวาโกะนั้นมาได้หลากหลายเส้นทาง แต่ผมใช้วิธีนั่งรถไฟมาลงที่เมือง ทาคายาม่า และหลังจากนั้นก็ต่อรถบัสของ Nohi Bus เพื่อเดินทางไปยังหมู่บ้านชิราคาวาโกะต่อครับ
|
ชมวิวระหว่างเดินทาง |
|
วันนี้อากาศแจ่มใสมาก |
แวะต่อรถที่ทาคายาม่า
หลังจากมาถึงที่ทาคายาม่าแล้ว ก็ซื้อตั๋วของ Nohi Bus ที่อยู่แถวๆสถานีเพื่อไปชิราคาวาโกะต่อกันครับ ระหว่างรอรถ Nohi Bus พอจะมีเวลาเหลือนิดหน่อยก่อนรถจะมา ผมก็เลยเดินเที่ยวทาคายาม่านิดหน่อย
|
ทางเดินในทาคายาม่า สะอาดเรียบร้อย และเป็นระเบียบ |
|
ไม่แน่ใจว่าเป็นแม่น้ำ มิยางาวะ(Miyagawa River) หรือเปล่า ? |
หลังจากนั้นอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาที่รถ Nohi Bus จะมาแล้วผมจึงเดินกลับไปเพื่อรอขึ้นรถครับ
|
แล้วรถ Nohi Bus ก็มาตรงเวลาเป๊ะเลย |
ถึงแล้วชิราคาวาโกะ
หลังจากที่นั่งรถ Nohi Bus มาไม่นานก็มาถึงแล้ว ชิราคาวาโกะ ซึ่งเช้านี้อากาศดีมาก ลมกำลังเย็น แดดกำลังอ่อนเลยครับ
|
บริเวณที่จอดรถมีจุดให้นักท่องเที่ยวซื้อของที่ระลึก |
ซึ่งการจะเดินเข้าไปในหมู่บ้านชิราคาวาโกะได้นั้นต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำก่อน และช่วงที่ผมไปเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน ดังนั้นต้นไม้บริเวณรอบก็จะมีเปลี่ยนสีเป็นสีต่างๆมากมายครับ
|
นี่หล่ะสะพานเข้าหมู่บ้าน สูงเอาเรื่อง แถมน้ำข้างล่างก็เชี่ยวมากเลย |
พอเดินข้ามสะพานมาก็เจอเลยครับสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านนี้ บ้านในแบบ
กัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri)
|
แสงแดด ท้องฟ้า และตัวบ้านมีภูเขาอยู่ด้านหลัง |
ด้วยอากาศที่เย็นสบาย ผมก็เลยเดินชิวๆชมโน่น ชมนี่ ไปเรื่อยก่อนที่จะขึ้นไปชมจุดชมวิวบนเขาซึ่งเป็นจุดยอดฮิตครับ
|
ถนนภายในหมู่บ้านช่างเงียบสงบดีจริง |
|
บ้านในแบบกัสโชอีกหลังหนึ่ง |
สำหรับบ้านในแบบกัสโชสึคุรินั้น สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียวอีกทั้งยังนำต้นหญ้าที่ปลูกไว้เพื่อมาใช้มุงหลังคาของตัวบ้านด้วยครับ แม้จะเป็นต้นหญ้าแต่เมื่อนำมามัดรวมกันให้หนาๆ ความแข็งแรงก็จะสามารถรองรับหิมะที่ตกมาอย่างหนักในช่วงฤดูหนาวได้เป็นอย่างดีเลยหล่ะ
|
สังเกตดีๆจะเห็นรูปหน้าอะไรก็ไม่รู้ อยู่บริเวณจั่วของบ้านด้วย |
ณ เวลานั้นก็เดินไปเรื่อยๆระหว่างทางเดินขึ้นเขา
|
เดินอย่างเดียวเท่านั้น |
พอเดินมาซักพักก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วหล่ะครับ เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวเลย ก็มองหาร้านเพื่อแวะพักกินข้าวกันก่อน
|
คนขายกำลังแนะนำลูกค้าอยู่ |
วันนี้ก็ได้โอกาสฝากท้องไว้กับราเมงชามนี้ครับ
|
ราเมงน้ำใสประทังความหิว |
เมื่อกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางกันต่อครับ โดยพอเดินทางไปได้ซักพักก็จะมีป้ายพร้อมลูกศรชี้ครับว่าไปจุดชมวิว เป็นทางแคบๆเหมือนต้องเดินปีนเขาไป ตัวผมนั้นก็ตามทางนั้นไปนั่นแหล่ะครับ หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วทางที่ไปมันเป็นทางลำบากสำหรับคนที่ต้องการปีนเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เลยไปหน่อยก็มีทางขึ้นได้อย่างสบายๆแล้วแท้ๆ - -!
แล้วก็มาถึงจุดชมวิว
แล้วในที่สุดก็เดินมาถึงจนได้ครับ จุดชมวิวของชิราคาวาโกะ ที่ใครๆก็ต้องมา (ผมก็อาศัยนั่งพักกับถ่ายรูปเล่นอยู่บนนั้นซะตั้งนานสองนานเพื่อให้คุ้มกับความพยายามขึ้นเขามาหน่ะครับ)
|
จุดนี้นี่เอง ที่คนอื่นเค้ามาถ่ายรูปกัน |
|
อีกซักรูปหนึ่ง |
หลังจากถ่ายวิวด้านบนจนสมใจอยากแล้วก็ได้เวลาลงมาด้านล่างเพื่อจะกลับแล้วหล่ะครับ ซึ่งทางเดินกลับนั้นผมลงอีกเส้นทางครับ ทางก็กว้างกว่า ชันก็น้อยกว่า สบายกว่ากันเยอะ (รู้งี้ขึ้นมาทางนี้ตั้งแต่แรกซะก็ดี - -!)
|
บ้านรูปทรงแบบนี้เห็นได้ตลอดทางเลย |
|
ฤดูหิมะกำลังจะมาเยือน |
ก่อนกลับก็แวะกินไอติมกันก่อนนะครับ
|
แวะกินไอติมที่ร้านนี้แหล่ะ อร่อยดี |
และแล้วก็ถือว่าภารกิจเสร็จสิ้นสำหรับการมาเยือนชิราคาวาโกะในตอนที่ไม่มีหิมะ สรุปการเดินทางก็สะดวกดีครับ แถมเดินได้แบบชิวๆ สบายๆ อากาศก็ไม่ร้อนไม่เย็นเกินไป ได้ถ่ายรูปในมุมมองใหม่ๆ ก็ถือว่าเป็นข้อดีสำหรับการมาที่นี่เลยก็ว่าได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น